เมื่อครอบครัวอันเป็นที่รักถูกคุกคามจากคนแปลกหน้าที่พวกเขาไม่รู้จัก และยังบีบบังคับให้ภรรยาและลูกต้องยอมตกเป็นเครื่องบำเรอกาม หัวหน้าครอบครัวอย่างเขาจึงจำเป็นทุกวิธีทางเพื่อรักษาสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิต...ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม
Drishyam เรื่องราว วีเจย์ ซัลกาออนการ์ ชายหนุ่มเจ้าของบริษัทเคเบิ้ลทีวีในชุมชนเล็กๆของกัว ด้วยความมุมานะพยายามและอดทนบวกกับความเป็นคนจิตใจดี วีเจย์จึงได้ไต่เต้าจากที่เคยเป็นแค่เด็กเช็ดกระจกจนกลายมาเป็นเจ้าของธุรกิจที่มีคนนับหน้าถือตา โดยทั้งชีวิตของวีเจย์นั้นไม่เคยสร้างความวุ่นวายหรือรังแกใคร แต่เขาอุทิศทั้งชีวิตให้กับสองสิ่งที่เขารักคือภาพยนตร์และครอบครัว จนกระทั่งวันหนึ่งที่ลูกสาวของเขาและภรรยา ถูกวัยรุ่นชายคนหนึ่งตามสะกดรอยกลับมายังบ้านที่พวกเขาพักอาศัยอยู่ และหมายจะขืนใจภรรยาและลูกสาวของเขา ทั้งคู่ได้พยายามต่อสู้ขัดขืนและปกป้องชีวิตของตนอย่างสุดกำลัง โชคร้ายที่พวกเธอพลั้งมือฆ่าวัยรุ่นคนนั้นไปอย่างไม่ตั้งใจ และเมื่อวีเจย์กลับมาถึงบ้าน เขาก็รู้ดีว่ากำลังจะเกิดหายนะตามมา เพราะเด็กหนุ่มที่ตายไปนั้นเป็นถึงลูกชายของผู้บัญชาการตำรวจสาว ที่จะไม่ยอมปล่อยครอบครัวของพวกเขาให้มีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความสุข ถึงแม้พวกเขาจะพูดความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็ตามที วีเจย์ซึ่งในตอนนั้นมีทางเลือกไม่มากนัก จึงได้ตัดสินใจซ่อนศพของเด็กหนุ่มไว้ในสวนหลังบ้านของพวกเขา และพยายามสร้างสถานการณ์ทุกอย่างให้เป็นปกติ ไม่นานข่าวการหายตัวไปของลูกชายผู้บัญชาการตำรวจก็เป็นที่ฮือฮาไปทั่วทั้งเมือง ตำรวจทุกนายทุกที่ได้ระดมพลออกตามหาตัวของเด็กหนุ่มกันเป็นพัลวัน และพวกเขาก็ได้ค้นพบเบาะแสที่สามารถเชื่อมโยงได้ว่า ครอบครัวของวีเจย์ทั้งหมดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของลูกชายผู้บัญชาการ และไม่นานหลักฐานทุกอย่างก็จะสาวมาถึงตัวของวีเจย์ เว้นเสียแต่ว่าเขาจะมีหนทางอื่นที่จะทำให้ตัวเองและครอบครัวรอดพ้นจากสถานการณ์สุดเลวร้ายนี้ไปได้
ระดับของเนื้อหา
แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองว่าจะนั่งดูภาพยนตร์ระทึกขวัญจากอินเดียเรื่องนี้จนจบ แบบที่ไม่ได้หยุดเลยแม้แต่ฉากเดียว เพราะตัวหนังมันมีความยาวเกือบๆ 3 ชั่วโมงเต็ม อีกทั้งยังมีการปูเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครที่ค่อนข้างนาน แต่กลับกลายเป็นว่าในความนานที่พูดมานั้น มันส่งผลเป็นอย่างยิ่งของเรื่องราวความระทึกในช่วงท้าย เพราะมันทำให้รู้ว่าคนในครอบครัวของวีเจย์นั้นเขารักและผูกพันธ์กันมากขนาดไหน การดำเนินเรื่องก็มีความไหลลื่นสนุกสนาน แอบมีมุขเล็กน้อยๆคอยสอดแทรกให้ได้ขำกันทั้งเรื่อง ช่วงไหนที่เป็นโทนกดดันก็ทำออกมาได้อย่างดี เนื้อเรื่องมีความสลับซับซ้อนมากถึงมากที่สุด แต่ก็สามารถดูเข้าใจง่ายผ่านการเล่าเรื่องอย่างมีชั้นเชิง ซึ่งถ้าคุณคิดว่าภาพยนตร์ระทึกขวัญจากอินเดียอย่าง Ajji ดีแล้ว คุณต้องลองดูเรื่องนี้ แล้วจะรู้ว่ามันสุดยอดกว่าอีกเป็นเท่าตัว
ระดับความสยอง
ใครที่คิดว่าภาพยนตร์ระทึกขวัญจากเกาหลีคือสุดยอดที่สุด อยากให้ลองชมภาพยนตร์เรื่องนี้ดูสักครั้ง ถึงแม้มันจะไม่ได้อัดแน่นไปด้วยความรุนแรงหรือเลือดสาด แต่ทว่ากลับมีในส่วนของความลุ้นระทึกเข้ามาแทนที่ แล้วคุณจะลุ้นไปกับการเอาตัวรอดของคนที่จบแค่ป.4กับตำรวจที่ยกโขยงกันมาทั้งกรม เพื่อลากตัวครอบครัวของพวกเขามาลงโทษ ทุกวิธีการทุกหนทางถูกงัดออกมาใช้เพื่อให้วีเจย์และครอบครัวของเขาต้องจนมุม แต่ไม่ว่าจะยังไงวีเจย์ก็จะสามารถเอาตัวรอดออกมาจากสถานการณ์สุดเลวร้ายได้เสมอ ซึ่งมันเป็นผลมาจากความรักที่เขามีต่อภาพยนตร์ ที่ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยพลาดที่จะดูมันเลยแม้แต่เรื่องเดียว และความรู้ที่ได้จากในภาพยนตร์นี้แหละก็มีส่วนสำคัญทีทำให้เขาและครอบครัวสามารถต่อกรกับพวกตำรวจได้
ระดับความน่าดู
หลังจากติดลมกับภาพยนตร์ระทึกขวัญจากประเทศอินเดียอย่างเรื่อง Ajji
ที่ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมสมจริง
เป็นผลทำให้ผมต้องออกไปตามหาภาพยนตร์ระทึกขวัญเรื่องอื่นๆของอินเดียมาดูอีกให้จงได้
ซึ่งในใจลึกๆก็หวังไว้ว่ามันจะได้กลิ่นอายคล้ายๆกับเรื่อง Ajji
สักนิดก็ยังดี แต่ที่ไหนได้ Drishyam กลับเหนือชั้นมากกว่า Ajji เข้าไปอีก
ด้วยคะแนน IMDB ที่สูงลิ่บถึง 8.3 (ขนาดภาพยนตร์ระทึกขวัญระดับตำนานอย่าง
Memories of Murder จากเกาหลียังได้แค่ 8.1) เป็นสุดยอดภาพยนตร์ระทึกขวัญที่คุณควรค่าแก่การดูให้ได้สักครั้งในชีวิต ไม่อยากพูดมาก...เจ็บคอ เอา 5 ดาวจากอ้วนซอยหนึ่งไปเลย ต้องดูสถานเดียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น